สอนใจได้ดีมาก กับสภาพสังคม และ ความเป็นอยู่ในปัจจุบัน
มีเรื่องเล่าอยู่ว่า… มี แ ม ล ง วั น ตัวหนึ่ง ชื่อ บี
มีอยู่วันหนึ่ง เจ้าบีก็บินออกหากินไปเรื่อยๆ ตามสัญชาตญาณของมัน
บินตามกลิ่นของอาหารไป กลิ่นอาหารได้พาบีบินเข้าไปอยู่ในร้านอาหารแห่งหนึ่ง
เป็นร้านอาหารธรรมดาๆ ที่รายล้อมรอบไปด้วยกระจกใสรอบด้าน
ในห้องนั้นเต็มไปด้วยอาหารมากมาย บีได้กินจนอิ่มหนำสำราญ
หลังจากอิ่มแล้วจึงตัดสินใจบินออกมา บีก็มองหาทางออก
แต่ด้วยความกระจกที่ใสมันมองไม่เห็นก็เลยบินชนกระจก แล้วร่วงลงมาตุ๊บ..!!!
หลังจากการบินชนครั้งแรกมันก็กลับมาคิดใหม่ว่าถ้ามันบินเพิ่มแรงไปอีกสักเท่าตัว
กระจกมันคงจะแตก แล้วทำให้ผ่านออกไปได้ บีจึงบินแรงขึ้นกว่าเก่า… บินๆๆๆๆ
แล้วบีก็ชนกระจก แต่มก็ร่วงลงมาอีก ตุ๊บ..!! กระจกก็ไม่แตก
เอาวะ ลองอีกครั้ง…!! ครั้งที่สาม มันต้องเพิ่มแรงบินอีก ไปอีกหลายเท่าตัว
กระจกมันจะต้องแตกแน่ๆ บีถอยหลังไปตั้งหลัก เพิ่มแรงเข้าไปอีก
แล้วก็ชนกระจก…!! ไม่แตก บีก็ร่วงลงมาอีกเหมือนเดิม ครั้งนี้มันเริ่มร้องโอ้ยๆ
ด้วยความตั้งใจของบี ที่ต้องการที่จะออกไปปให้ได้ จึงคิดว่าจะบิบให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
บีถอยหลังไปตั้งหลักที่มุมอีกฝั่งของห้อง ใช้แรงและกำลังทั้งหมดที่มีทุ่มเทไปกับการบังคับปีก
มันคิดว่า… ถ้าบินเต็มที่สุดแรงกระจกจะต้องแตกแน่ๆ แล้วจะได้ทะลุกระจกออกไปได้
มันก็บินเต็มที่ ชนกระจกปั๊ก..!! ปรากฎว่ารอบนี้ กระจกแตกทะลุจริงๆ แต่ตัวมันติดอยู่กับกระจก
ติดแบบปักแน่น พยายามขยับตัวออไปเท่าไรก็ไม่สามารถหลุดออกไปได้เลย
ในขณะที่มันกำลังติดอยู่นั้น มันก็เหลือบมองไปเห็น หน้าต่างที่อยู่ติดกันอีกบาน
เป็นบานที่เปิดอยู่ สามารถบินออกไปได้อย่างง่ายดาย ในใจได้แต่คิดว่า ทำไมถึงไม่ดูให้ดีๆกว่านี้วะ…!!
เปิดตามองให้กว้างๆก่อน ก็เห็นทางออกแล้ว ไม่ต้องมาติดอยู่แบบนี้
นิทานเรื่องนี้สอนอะไรเรา…?
เราๆท่านๆอ่านมาถึงจุดนี้ก็คงจะคิดว่า ทำไมเรื่องแค่นี้ถึงคิดไม่ได้
ขณะเดียวกัน บางครั้งการที่เรามองดูคนอื่นแก้ปัญหาเราก็จะเห็นทางออกของเขา
แต่ถ้าปัญหามันมาเกิดกับเราเอง เราก็อาจจะไปติดอยู่ที่กระจกแบบนี้เหมือนกันก็ได้
ถ้าเปรียบเทียบกับชีวิตการทำงาน เริ่มต้นเราออกแรงทำงานหาเงินมาเลี้ยงดูตัวเอง
พอนานวันเข้าเราก็เริ่มติดกับดักทางการเงินมากขึ้น ใช้จ่ายฟุ่มเฟือยมากขึ้น
อยากมีบ้าน มีรถ แรกๆก็อาจผ่อนไหว แต่พอนานๆไป
อยากมีรถเพิ่มอีกคัน มีโทรศัพท์เครื่องใหม่ ไปเที่ยวต่างประเทศ ซื้อของแพงๆใช้
เราก็จะเริ่มติดกับดักทางการเงินที่เรามองไม่เห็น เหมือนเจ้าบีที่บินชนกระจกไปเรื่อยๆ
เราจะเริ่มมองไม่เห็นทางออกของปัญหา เพราะ เราคิดว่าสิ่งที่เราทำอยู่คือเรื่องปกติ
เวลาผ่านไปต่อให้เราออกแรงมากขึ้น รายได้ของเรามันก็เท่าเดิม แต่รายจ่ายเยอะขึ้น
แบบนี้ก็วนเวียนอยู่แต่กับการทำงาน หาเงิน มาใช้หนี้ ให้จบไปเป็นงวดๆ
ถ้าวันนี้เรายอมรับเปิดใจ มองดูหลายๆด้าน มองให้เห็นปัญหาทางการเงิน
ว่าแท้จริงแล้วเราควรประหยัดในสิ่งไหน และ ใช้จ่ายไปกับสิ่งไหน
ฝนยังมีวันหยุดตก ลมยังมีช่วงหยุดพัด ไม่มีชีวิตใครที่ซวยไปตลอดชาติ
เมื่อยืนหยัดที่จะสู้ ย่อมมีวันชนะ แต่ต้องสู้ให้ถูกวิธี
ใช่ว่าจะทุ่มแต่กำลังเข้าไปอย่างเดียว ต้องใช้สมองด้วย
ความกังวลใจ และ ปัญหาที่ถาโถมเข้ามา แก้ไขปัญหาของเมื่อวานไม่ได้
แต่ทำให้ความสุขของวันนี้หายไป จงอยู่กับปัจจุบัน และ มองภาพรวมของปัญหาให้ออก
บางครั้งลองถอยหลังกลับมาตั้งหลัก และ พิจารณาดูสิ่งต่างๆรอบตัวให้ถี่ถ้วน
บางทีทางออกอาจอยู่ถัดไปจากกระจกบานใหญ่ที่ขวางกั้นอยู่ก็ได้
ทุกวันนี้ที่คุณก้าวเท้าออกไปทำงาน ลองถามตัวเองดู คุณกำลังเป็นเหมือน แ ม ล ง วั น ตัวนี้อยู่หรือป่าว…?
ขอบคุณรูปภาพประกอบจาก อินเตอร์เน็ต , เรียบเรียงโดย bitcoretech
สอนใจได้ดีมาก กับสภาพสังคม และ ความเป็นอยู่ในปัจจุบัน
Reviewed by Dusita Srikhamwong
on
มีนาคม 17, 2563
Rating:
ไม่มีความคิดเห็น: