วิธีเก็บเงิน ให้เราอยู่สบาย มีอนาคตที่ดี




วิธีเก็บเงิน ให้เราอยู่สบาย มีอนาคตที่ดี 

ทุกวันนี้ ไม่ว่าเราจะไปไหน จะทำอะไร ต่างก็ต้องใช้ “เงิน” แทบทั้งนั้น ต่อให้ไม่ไปไหน นอนอยู่บ้านสบาย ๆ เราก็ยังต้องใช้เงินอยู่ดี เพราะข้าวก็ต้องกิน ค่าไฟที่บ้านก็ต้องจ่าย หรือใครจะอิ่มทิพย์ แล้วนอนร้อน ๆ ตามสไตล์อากาศในบ้านเราได้ก็ไม่ว่ากัน

แต่เราก็ควร “เก็บเงิน” กันบ้างนะ ยุคสมัยนี้ ใคร ๆ ก็มี “ความฝัน” กันทั้งนั้น ฝันแล้วก็ต้องไปให้ถึงเป้าหมาย และเราก็เชื่อว่าหลายคน ต้องมีความฝัน หรือมีอารมณ์แบบว่า “อยากอยู่เฉย ๆ ” แน่นอน ไม่ต้องทำงานก็สามารถมีชีวิตอยู่รอดได้ อันนี้ก็ถือว่า เป็นอีกหนึ่งความฝันเหมือนกัน

วันนี้เราจะมาแนะนำวิธีการ “เก็บเงิน” ยังไง ให้เราอยู่สบาย แบบไม่ต้องทำอะไรแล้วชีวิตนี้ เอาให้อยู่เฉย ๆ ก่อนที่เราจะเตรียมตัวเพื่อเป็นง่อยกัน เราจะต้องกลับมาสู่ความจริงที่ว่า เราทุกคนต้อง “ใช้เงินทุกวัน” ก่อน แต่สำหรับใครที่อยากอยู่เฉย ๆ ก็สามารถใช้ชีวิตชิลล์ ๆ ได้เนี่ย เรายังยืนยัน นั่งยัน นอนยัน ว่าต้องมี “เงินทุน” ประมาณนึง ถึงจะสามารถใช้ชีวิตแบบนั้นได้

1. ทำบัญชีรายรับ-รายจ่ายก่อน

ต้องรู้ว่าในแต่ละเดือน เราใช้เงินเท่าไหร่ถึงจะมีชีวิตรอด เพราะส่วนใหญ่ถามไปก็ตอบไม่ได้ ว่ารายจ่ายแต่ละเดือนเท่าไหร่กันบ้าง ? ในตัวอย่างนี้ เราขอลองสมมติว่า เราต้องใช้เดือนละ 10,000 บาท ปีนึงก็คือ 120,000 บาท กันก่อน หลังจากนั้นสิ่งที่ต้องมาดูต่อก็คือ

2. เช็คว่าเรามี “ความสามารถในการลงทุน” แค่ไหน ?

เพราะถ้าเราสามารถหาผลตอบแทนได้มาก เราก็จะใช้ “เงินลงทุน” ที่ลดลง เช่น ถ้าฝากธนาคารได้ 1% เราก็จะต้องมี ทุนทั้งหมด 120,000/1% = 12 ล้านบาท แต่ถ้าเราจัดพอร์ตเป็นแบบเสี่ยงต่ำ ๆ หน่อยได้สัก 4% เราก็ต้องเตรียมทุนไว้ 120,000/4% = 3 ล้านบาทเท่านั้นเอง

แต่เรามักจะแนะนำเสมอว่า ถ้าอยากมีรายได้จากการลงทุนเป็นรายเดือน น่าจะไม่มีอะไรเหมาะไปว่า “อสังหาริมทรัพย์” อีกแล้ว เพราะผลตอบแทนจากการลงทุน ก็น่าจะได้ประมาณ 6% โดยเฉลี่ยสำหรับการปล่อยเช่า

ถ้าเราลองมาคำนวณกันดูจริง ๆ แล้ว ก็เท่ากับ 120,000/6% = 2 ล้านบาท แต่การลงทุนในอสังริมทรัพย์ มันไม่ง่ายแบบหมูอู๊ด ๆ เหมือนที่เราคิดแน่นอน ดังนั้นเราต้องไปศึกษาให้ดีก่อนเสมอ อย่างที่รู้กัน “ผลตอบแทน” มาคู่ “ความเสี่ยง” อยู่แล้วล่ะ

จากนั้นเราก็กลับมาถามตัวเองว่า อยากใช้ชีวิตแบบไหน อยากอยู่สบาย ๆ ไม่ต้องทำงาน ก็มีรายได้หรือเปล่า ถ้าอยากได้จริง ๆ สิ่งที่เราต้องเตรียมก็คือ เงิน 2,000,000 บาท แล้วนำไปลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ก็ได้ ส่วนจะเก็บก้อนนี้ยังไง ก็แล้วแต่ที่เราถนัดเลยนะ

จะเก็บได้เร็วหรือช้า ก็ขึ้นอยู่กับ “ความสามารถในการหาเงิน” ของเราแล้วล่ะ ถ้าเรายอมเหนื่อยขึ้นอีกหน่อย เพื่อให้ได้ชีวิตที่เราต้องการ เราว่ายังไงก็คุ้ม เราก็สามารถมีชีวิตสุขสบาย และได้ทำในสิ่งที่ชอบอย่างเต็มที่เลยล่ะ

หลังจากนั้นก็ต้องกลับมาถามตัวเองว่าอยากใช้ชีวิตแบบไหน อยากอยู่สบายๆ ไม่ต้องทำงาน ถ้าอยากได้จริงๆ สิ่งที่เราต้องเตรียมก็คือเงิน 2,000,000 บาท แล้นำไปลงทุน จะเร็วหรือช้าก็ขึ้นอยู่กับความสามารถในการหาเงินของเราแล้วล่ะ

เชื่อว่าสุดท้ายแล้วก็คงไม่มีใครอยากอยู่เฉยๆ หรอก แต่บางครั้งเราก็มีความรู้สึกไม่ชอบงานที่ตัวเองทำอยู่ ถ้าเราสามารถเก็บเงินได้ระดับนึงแล้วเอาไปลงทุนสร้างรายได้จากทางอื่น เราก็สามารถออกมาทำอย่างอื่นที่เราชอบได้เลย

และนี่คือไอเดียต่อยอดเงินเก็บของมนุษย์เงินเดือน เอาลงทุนอะไรได้บ้างเพื่อให้งอกเงย

แน่นอนว่าก่อนที่จะสบาย เราก็ต้องลำบากมาก่อนการวางแผนทางการเงินที่ดีจะช่วยให้เราประหยัดเวลาไปได้เลยปีเลยแหละ และนี่คือไอเดียต่อยอดเงินเก็บ เพื่อให้เราไปถึงฝันได้ไวขึ้น

1 ทองคำแท่ง

ทองเป็นการลงทุนระดับเบสิค และคลาสิกมากๆ สามารถเริ่มต้นได้ด้วยเงินเพียงหลักหมื่น (ขึ้นอยู่กับราคาทองในวันนั้น) การลงทุนในทองแนะนำให้ลงทุนกับทองคำแท่ง ไม่แนะนำให้ลงทุนกับทองรูปพรรณ เนื่องจากราคาทองรูปพรรณจะสูงกว่าราคาทองแท่งตอนซื้อเพราะมี ‘ค่ากำเหน็จ‘ และ ‘ค่าบล็อค‘ ซึ่งเป็นค่าแรงในการทำให้ทองรูปพรรณมีรูปทรงตามที่เห็น แต่ตอนขายกลับได้ราคาต่ำกว่าประมาณ 1,000 บาทจากราคาซื้อ จึงไม่คุ้มที่จะลงทุนในทองรูปพรรณ

ขณะที่ทองคำแท่งราคาจะถูกกว่ามาก เพราะไม่มี ‘ค่ากำเหน็จ‘ และ ‘ค่าบล็อค‘ หากซื้อตั้งแต่ 5 บาท และ 10 บาทขึ้นไป แต่ถ้าซื้อทองคำแท่ง 1 – 4 บาทจะเสียค่าบล็อคจะอยู่ที่ราวๆ 50 – 150 บาท ขึ้นอยู่กับร้าน การลงทุนในทองนั้นจะต้องใช้ความใจเย็นและต้องตัดสินใจให้ถูกจังหวะทั้งในการซื้อและการขาย รวมถึงต้องหมั่นติดตามข่าวสารราคาทองเสมอจะยิ่งเพิ่มโอกาสในการซื้อและขายได้อย่างดี

กำไรในการเล่นทองอาจจะไม่มาก แต่ถ้าเราซื้อเยอะทองแล้วขายในคราวเดียวจากเดิม ที่กำไรหลักร้อยก็จะกลายเป็นหลักพันบาทขึ้นไป ซึ่งเมื่อเทียบกับเงินต้นแล้วการลงทุนในทอง จะได้ผลตอบแทนดีกว่าฝากประจำในอัตราเงินต้นที่เท่ากันแน่นอน ดังนั้นถ้ามีเงินก้อนที่ไม่รู้จะลงทุนกับอะไรแนะนำว่าซื้อทองเถอะ

2. คอนโด

คอนโดเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่คนรุ่นใหม่เนื่องจากราคาผ่อนต่อเดือนไม่สูง ไม่ต้องใช้เงินลงทุนมาก และในตลาดอสังหาตอนนี้คอนโดยังเป็นที่ต้องการในการเช่าเพื่ออยู่อาศัยชั่วคราว คอนโดจึงกลายเป็นสินทรัพย์หนึ่งที่สามารถช่วยในเรื่องการลงทุนได้ หากเลือกคอนโดที่ทำเลดี อยู่ในจุดที่สามารถกำหนดค่าเช่าแพงกว่ากว่าผ่อนต่อเดือน คอนโดจะกลายเป็นทรัพย์สินที่สามารถทำกำไรให้เราได้สบายๆ

การลงทุนในคอนโดนั้นอาจจะง่ายในแง่ของการเป็นเจ้าของสินทรัพย์ แต่ก็มีโอกาสเสี่ยงที่เราจะขาดทุนเนื่องจากหาผู้เช่าไม่ได้ ดังนั้นผู้ลงทุนต้องศึกษาให้ดีทั้งปริมาณความต้องการของคนในพื้นที่ที่คอนโดตั้งอยู่ ราคากลางของคู่แข่งในย่านนั้น ทำเลของคอนโดที่ทำให้ผู้เช่าตัดสินใจได้ไม่ยาก ห้องที่เราให้เช่าตกแต่งถูกใจลูกค้าแค่ไหน สิ่งอำนวยความสะดวกของคอนโดครบครันไหม ดังนั้นอย่ามองแค่ราคาคอนโดเป็นตัวตัดสินใจอย่างเดียว

คอนโดอาจจะให้ค่าตอบแทนเราในแต่ละเดือนที่สมน้ำสมเนื้อ แต่ก็ต้องเผื่อใจไว้ว่าถ้าเดือนไหนไม่มีผู้เช่า เราจะแบกรับค่าผ่อนต่อเดือนได้ไหวแค่ไหน และระหว่างที่มีผู้เช่าเราจะบริหารจัดการเงินได้อย่างไร จะนำเงินไปโปะคอนโดไหมเพื่อให้เงินต้นหมดเร็วขึ้น จะเก็บเงินสำหรับซ่อมแซมห้องสำรองเท่าไหร่ ไปจนถึงค่าส่วนกลางที่ต้องจ่ายในแต่ละปีต้องเก็บไว้แค่ไหน

หากคำนวณค่าใช้จ่ายต่างๆ ได้ลงตัว เราก็จะเห็นผลกำไรที่ตามมาอย่างน้อยก็มีเงินเก็บเพิ่มเดือนละ 2,000 – 3,000 บาท และมีโอกาสที่คอนโดจะผ่อนหมดไว ถ้ามั่นใจว่าบริหารจัดการทางการเงินเป็น และมีเงินทุนสำรองสำหรับรองรับความเสี่ยงได้

3. หุ้น

หุ้น เป็นการลงทุนที่เริ่มต้นด้วยเงิน 500 บาทก็ลงทุนได้ทันที การซื้อหุ้นก็เหมือนกับการที่เราลงทุนในกิจการใดกิจการหนึ่งซึ่งเงินปันผลที่ได้จากกิจการนั้นก็จะคืนเรามาในทุกๆ ปี การได้เงินปันผลจากกำไรเท่าไหร่ก็ขึ้นอยู่กับว่าเราลงทุนไปแค่ไหน และบริษัทมีกำไรมากแค่ไหน ในจังหวะที่หุ้นของบริษัทนั้นขึ้นสูงกว่าที่เคยซื้อมา ก็สามารถเทขายเพื่อทำกำไรอีกต่อหนึ่งได้ จากนั้นก็ค่อยไปลงทุนในหุ้นของบริษัทอื่นต่อ

การลงทุนในหุ้นเป็นการลงทุนประเภท ‘high risk high return’ คือความเสี่ยงสูง แต่การได้รับผลตอบแทนก็มีโอกาสสูงเช่นกัน ดังนั้นผู้ลงทุนในหุ้นต้องเข้าใจในความผันผวน และเข้าในในธรรมชาติของการลงทุนในหุ้นนักลงทุนมือใหม่มักฝันไกลคิดว่าหุ้นที่ลงทุนจะทำกำไรได้ปีละ 30% – 50%

ทว่าในความเป็นจริงนักลงทุนอย่าง ‘วอร์เรน บัฟเฟตต์‘ ที่เป็นกูรูด้านการลงทุนของโลกยังทำได้อย่างเก่งที่สุดปีล่ะ 10% และเขาเลือกลงทุนในหุ้นที่เข้าใจ อ่านงบการเงินให้เป็น รู้ว่าควรจะขายเมื่อไหร่ ควรจะถือหุ้นนั้นนานแค่ไหน ควรจะลงทุนกับธุรกิจใด

เหมือนจะยากใช่ไหม…แต่อย่างที่บอกไปว่าการลงทุนในหุ้นไม่ใช่เรื่องยากเลยถ้าเราศึกษาอย่างดี กล้าลองผิดลองถูก และมีความเข้าใจในการลงทุน ดังนั้นจากเงินเริ่มต้น 500 บาทจะเพิ่มมูลค่าให้เราได้มากกว่าดอกเบี้ยเงินฝากแน่นอนถ้าสุดท้ายเราลงทุนเป็น

4. ขายของออนไลน์

ยุคนี้การทำธุรกิจของตัวเองไม่ใช่เรื่องยาก และไม่ต้องมีหน้าร้านเราก็สามารถเปิดร้านขายสินค้าของตัวเองได้ ขอแค่มีโปรดักค์ที่จะขาย และรู้ว่าจะเปิดร้านที่แพลตฟอร์มไหน ปัจจุบันสี่แพลตฟอร์มที่ได้รับความนิยมก็คือ Lazada, Shopee, Instagram, Facebook Fanpage และ Market Place ส่วนการเลือกสินค้าออนไลน์นั้นโดยส่วนใหญ่แบ่งวิธีการขายสินค้าออกเป็นสองสายคือ

ร้านที่ขายสินค้าชนิดเดียว แล้วสร้างแบรนด์ให้คนจำได้ว่าเราขายอะไร โดดเด่นด้านไหน ร้านที่ขายสินค้าเบ็ดเตล็ดเน้นขายตามความต้องการของตลาด และพร้อมเปลี่ยนเมื่อความต้องการเปลี่ยน แต่ไม่ว่าพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์มือใหม่ จะเป็นพ่อค้าสายไหน ก็ต้องดูว่าตอนนี้ตลาดมีความต้องการสินค้าประเภทไหน และสามารถหาสินค้าในราคาทุนที่ถูกได้ที่ไหน มีกำลังในการสต็อกสินค้ามากแค่ไหน รวมถึงตั้งกำไรไว้ที่เท่าไหร่ รับความเสี่ยงได้มากแค่ไหน

สินค้าที่นำมาขายบนออนไลน์ส่วนใหญ่สามารถทำกำไรได้มากอย่างที่เราคาดไม่ถึง บางอย่างอาจจะกำไรแค่ 20% แต่ของบางอย่างกำไรเกือบจะ 100% ก็มี ขึ้นอยู่กับว่าหาสินค้าได้ถูกไหม

และถ้าเราสามารถสร้างแบรนด์สินค้าตัวเองได้ก็จะยิ่งคุมต้นทุน กำหนดราคาได้ด้วยตัวเอง และมีความยั่งยืนในการทำธุรกิจจากแบรนด์ที่เราสร้างด้วยตัวเอง

5 ซื้อประกันสะสมทรัพย์

อันที่จริงแล้ว การลงทุน หรือการทำธุรกิจไม่ใช่ทางเลือกเดียวสำหรับคนที่อยากจะมีเงินเก็บไว้ใช้ยามเกษียณเพราะเราเข้าใจดีว่าการทำธุรกิจไปจนถึงการลงทุน ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายสักเท่าไหร่นัก และการประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจได้ก็ต้องพึ่งพาหลายปัจจัย

ความเสี่ยงก็มีถ้าทำธุรกิจโดยที่ไม่มีความรู้ความเข้าใจ เพราะบางอย่างอาศัยแค่ความรู้สึกชั่ววูบไม่ได้ เพราะผลลัพธ์อาจจะทำให้วูบได้ถ้าเกิดผิดพลาดเงินต้นก็หาย กำไรก็หด อาจจะที่ไม่เหลือเงินใช้ยามเกษียณ แต่การวางแผนเกษียณก็มีอีกทางที่ทำให้เราไม่เสี่ยง และยังได้ผลลัพธ์ที่ตั้งใจนั่นคือการ ‘ซื้อประกันสะสมทรัพย์‘ หนึ่งในรูปแบบการออมเพื่อพาเราไปสู่เป้าหมายยามเกษียณที่ได้รับความนิยมมากขึ้นในหมู่คนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะคนที่อายุยังน้อยเนื่องจากถ้าเริ่มไว ผลตอบแทนก็จะสูงตามจำนวนปีที่เหลือก่อนถึงวันเกษียณ นิยามของประกันสะสมทรัพย์

หากอธิบายให้เขาใจง่ายๆ ก็คือการลงทุนด้วยการฝากเงินให้ทางบริษัทประกันอย่างต่อเนื่องทุกปีจนครบกำหนด และเขาจะนำเงินก้อนนั้นของเราไปลงทุนกับกองทุนที่การันตีผลตอบแทนที่แน่นอน และมากกว่าดอกเบี้ยเงินฝากชนิดที่เทียบกันไม่ติด

-ได้รับผลตอบแทนที่แม่นยำชัดเจน

-จ่ายเงินเท่ากันทุกปี ตามระยะเวลาที่เลือกไว้

-ลดหย่อนภาษีได้

-ให้ความคุ้มครองชีวิตด้วย

-ไม่ต้องปวดหัวกับความผันผวนของตลาด

-มีเงินใช้ยามเกษียณตามที่วางแผนไว้แน่ๆ


ที่มา : moneybuffalo
วิธีเก็บเงิน ให้เราอยู่สบาย มีอนาคตที่ดี วิธีเก็บเงิน ให้เราอยู่สบาย มีอนาคตที่ดี Reviewed by Dusita Srikhamwong on ตุลาคม 09, 2563 Rating: 5


ไม่มีความคิดเห็น:

ขับเคลื่อนโดย Blogger.