ประโยชน์ของมะไฟ กินเป็นผลไม้สดทำให้ชุ่มคอ ผิวพรรณเรียบเนียน เปล่งปลั่งสดใส




ประโยชน์ของมะไฟ กินเป็นผลไม้สดทำให้ชุ่มคอ ผิวพรรณเรียบเนียน เปล่งปลั่งสดใส

มะไฟ (Burmese grape) จัดเป็นพืชพื้นเมืองของอินโดนีเซีย โดยปลูกกันแพร่หลายในอินเดียและมาเลเซีย และยังพบได้ทั่วไปตามในแถบเอเชีย เป็นผลไม้ที่มีฤทธิ์ทางสมุนไพร มีชื่อวิทยาศาสตร Baccaurea ramiflora Lour. จัดอยู่ในวงศ์มะขามป้อม (PHYLLANTHACEAE) ชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า หัมกัง (เพชรบูรณ์), ส้มไฟ (ภาคใต้) เป็นต้น

โดยผลมะไฟสุกจะมีรสเปรี้ยวอมหวานและมีกรดอินทรีย์อยู่หลายชนิด รวมไปถึงวิตามินซี น้ำตาล และอื่น ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย นิยมรับประทานเป็นผลไม้สดหรือนำไปทำเป็นน้ำผลไม้

นอกจากผลของมะไฟที่มีประโยชน์แล้ว ส่วนอื่น ๆ ของมะไฟก็ยังมีประโยชน์อีกด้วย เช่น ใบของมะไฟและรากสด-แห้ง ต่างก็มีประโยชน์เช่นกัน โดยมีสรรพคุณในการรักษาโรคและอาการต่าง ๆ ได้




สรรพคุณของมะไฟ

ช่วยทำให้ชุ่มคอ

ช่วยบำรุงธาตุในร่างกาย (ใบ)

ช่วยแก้โรคหวัด (ใบ)

ช่วยแก้ไข้มาลาเรีย (ใบ)

ช่วยแก้และบรรเทาอาการไอ (ใบ)

ช่วยขับเสมหะและช่วยละลายเสมหะ

ช่วยดับพิษร้อน (รากสดหรือรากแห้ง)

ผลใช้เป็นยาช่วยย่อย รักษาอาการอาหารไม่ย่อย

ผลช่วยแก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ

แก้อาการท้องร่วง (รากนำไปต้มกับสมุนไพรชนิดอื่น ๆ)

ช่วยบรรเทาอาการปวดท้อง (เมล็ด)

ใช้เป็นยาถ่ายพยาธิ (ใบ)

ช่วยขับปัสสาวะ (ใบ)

ช่วยรักษากลาก เกลื้อน และโรคเรื้อน (ใบ)

เปลือกมะไฟต้มใช้แก้โรคผิวหนัง

ช่วยแก้อาการผิวหนังอักเสบชนิดที่เป็นถุงน้ำและลอกออกมา (รากสดหรือรากแห้ง)

ช่วยแก้พิษฝี (ใบ)

ช่วยแก้ฝีภายใน (รากสดหรือรากแห้ง)

ช่วยบรรเทาอาการไข้ที่มีอาการปวดข้อ ปวดเข่า และมีผื่นคล้ายลมพิษ หรือ "ไข้ประดง" (รากสดหรือรากแห้ง)

ช่วยรักษาโรคเริม (รากสดหรือรากแห้ง)

แก้วัณโรค (รากสดหรือรากแห้ง)

ใช้แก้พิษตานซาง (รากสดหรือรากแห้ง)



ประโยชน์ของมะไฟ

มะไฟสุกใช้รับประทานเป็นผลไม้สดและนำมาทำน้ำผลไม้

ผลอ่อนมะไฟนำไปใช้ทำแกงได้

ผลใช้ในการปรุงอาหารอย่าง สตูว์ ดอง หรือนำไปหมักทำไวน์

วิตามินซีจากผลมะไฟช่วยในสร้างคอลลาเจน ช่วยทำให้ผิวพรรณเรียบเนียน เปล่งปลั่งสดใส


อ้างอิง...https://medthai.com/
ประโยชน์ของมะไฟ กินเป็นผลไม้สดทำให้ชุ่มคอ ผิวพรรณเรียบเนียน เปล่งปลั่งสดใส ประโยชน์ของมะไฟ กินเป็นผลไม้สดทำให้ชุ่มคอ ผิวพรรณเรียบเนียน เปล่งปลั่งสดใส Reviewed by Dusita Srikhamwong on กรกฎาคม 13, 2562 Rating: 5


ไม่มีความคิดเห็น:

ขับเคลื่อนโดย Blogger.